ศิลปะอินเดีย
ประเทศ อินเดียได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากต่างประเทศ 4 ครั้ง คือ ครั้งที่หนึ่ง ประมาณ 2,000 ปีก่อนพุทธศักราช อิทธิ พลจากประเทศเมโสโปเตเมียได้แพร่เข้ามาในลุ่มแม่น้ำสินธุจนถึงประมาณ 1,000 ปีก่อนพุทธศักราช เมื่อชาว อารยันได้บุกรุกอินเดียและทำลายอารยธรรมดั้งเดิม ครั้งที่สอง ราวพุทธศตวรรษที่ 3 ได้รับอิทธิพลศิลปะจาก อิหร่านและกรีก ครั้งที่สามพุทธศตวรรษที่ 6 ได้รับอิทธิพลของกรีกและโรมันเข้ามามีบทบาทต่อศิลปอินเดียและ ครั้งที่สี่พุทธศตวรรษที่ 16 กลุ่มมุสลิมซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้รุกรานอินเดียและพุทธศตวรรษที่ 21 ราชวงศ์ โมกุลเข้าครอบครองอินเดียศิลปะอินเดียระยะต่อมาก็ได้รับอิทธิพลของอิหร่าน อินเดียเป็นประเทศที่มีศาสนาหลายศาสนา ศาสนาดั้งเดิม คือ ศาสนาพระเวท ซึ่งต่อมาก็กลายเป็น ศาสนาพราหมณ์ และในช่วงต้นพุทธศักราชได้เกิดศาสนาไชนะ และพุทธศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาที่รุ่ง เรืองในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศตวรรษที่ 6 พุทธศาสนาได้เกิดลัทธิขึ้นใหม่คือ ลัทธิมหายาน ซึ่ง ได้รับเอาความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์เข้ามาปะปน พุทธศตวรรษที่ 10 ศาสนาพรามหณ์ ได้ปรับปรุงเพื่อ ต่อต้านพุทธศาสนาลัทธิมหายาน จึงเป็นศาสนาฮินดู ซึ่งแบ่งเป็น 2 ลัทธิใหญ่ คือ ไศวนิกายซึ่งนับถือ พระศิวะ หรือพระอิศวรเป็นใหญ่ และไวษณพนิกายซึ่งนับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นใหญ่ ต่อมาพุทธศาสนาก็ เกิดลัทธิตันตระ ก่อนที่ชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามเข้ามามีอิทธิพลในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 ศาตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงแบ่งศิลปะอินเดียออกเป็น 2 สมัยโดยกว้างคือ สมัย ก่อนอินเดีย และศิลปะอินเดีย
สมัยก่อนอินเดีย
รากฐานศิลปะก่อนอินเดียคือวัฒนธรรมที่ใช้ภาษาสันสกฤต มีศิลปะที่เมืองหะรัปปา (Harappa) และโมเหนโช- ดาโร (Mohenjo-daro) ทางแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ เมื่อ 1,500 ปีก่อนพุทธศักราช นักโบราณคดีค้นพบซากเมืองที่ใช้ อิฐในการก่อสร้าง มีการวางผังเมืองและท่อระบายน้ำอย่างเป็นระเบียบ นอกจากนั้นยังพบตราประทับ ประติมากรรมลอยตัวขนาดเล็กเป็นรูปชายมีเครา
รากฐานศิลปะก่อนอินเดียคือวัฒนธรรมที่ใช้ภาษาสันสกฤต มีศิลปะที่เมืองหะรัปปา (Harappa) และโมเหนโช- ดาโร (Mohenjo-daro) ทางแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ เมื่อ 1,500 ปีก่อนพุทธศักราช นักโบราณคดีค้นพบซากเมืองที่ใช้ อิฐในการก่อสร้าง มีการวางผังเมืองและท่อระบายน้ำอย่างเป็นระเบียบ นอกจากนั้นยังพบตราประทับ ประติมากรรมลอยตัวขนาดเล็กเป็นรูปชายมีเครา
ศิลปะสมัยอินเดียแท้
สมัยที่ 1
ศิลปะอินเดียโบราณบางครั้งเรียกว่าศิลปะแบบสาญจีหรือแบบราชวงศ์โมริยะ และแบบสมัยพระเจ้าอโศก มหาราชที่เรียกว่าตุงคะ ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 3 ถึงพุทธศตวรรษที่ 6 ศาสนสถานที่เหลือร่องรอยอยู่ คือ สถูปรูปโอคว่ำ ตั้งอยู่บนฐานมีฉัตรปักเป็นยอด แต่เดิมสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่คงเป็นไม้ เนื่องจากภาพสลักนูน ต่ำหรือถ้ำที่ขุดเข้าไปในภูเขาเลียนแบบสถาปัตยกรรมแบบไม้ เช่น ที่ถ้ำราชา เพทสา และการ์ลี สำหรับประติมากรรมที่เก่าแก่ที่สุดคงเป็นเสาของพระเจ้าอโศกมหาราชราวปลายพุทธศตวรรษที่ 3 ทำ เป็นรูปสิงห์ตามแบบศิลปะในเอเชียไมเนอร์ บัวหัวเสารูประฆังคว่ำได้รับอิทธิพลจากศิลปะอิหร่าน ส่วน ประติมากรรมลอยตัวมีรูปร่างใหญ่และหนา เช่น รูปยักษ์ที่เมือง ประขัม ส่วนใหญ่ของงานประติมากรรมสมัยนี้ เป็นภาพสลักบนรั้วและประตูล้อมรอบสถูป ศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาไม่สลักเป็นพระพุทธรูปหรือรูปมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ แต่ใช้สัญ ลักษณะแทน เช่น ปางเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก็มีภาพของม้าเปล่าไม่มีคนขี่แต่มีฉากกั้น ซึ่งแสดงว่าพระ โพธิสัตว์ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปได้ประทับอยู่หลังม้า ปาฎิหาริย์ทั้ง 4 ปาง คือ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐม เทศนาและปรินิพพาน ก็มีสัญลักษณะแทนคือ ดอกบัวแทนปางประสูติ ต้นโพธิ์แทนปางตรัสรู้ ธรรมจักรแทน ปางปฐมเทศนาและพระสถูปแทนปางปรินิพพาน
สมัยที่ 2
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 จนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 10 มีอิทธิพลภายนอกที่มีต่อศิลปะอินเดียคือ ศิลปคันธารราฐ และศิลปะอินเดียเองคือ ศิลปะแบบมถุรา ทางเหนือและศิลปะแบบอมราวดีทางตะวันออกเฉียงใต้
1. ศิลปะคันธารราฐ เกิดขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 7 มีรูปแบบ ศิลปะกรีกและโรมัน แต่เป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ศิลปะคันธารราฐ เป็นศิลปะยุคแรกประดิษฐพระพุทธรูปเป็นรูปมนุษย์ แต่มีลักษณะคล้ายกรีกและโรมัน ดังนี้พระ พุทธเจ้าในปางต่าง ๆ จึงประดิษฐเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามยังพบประติมากรรม อื่นที่ได้รับอิทธิพลศิลปะกรีกและโรมันอยู่มาก เช่น ประติมากรรมรูปชาวโกลกำลังตาย และท่อ ระบายน้ำที่สลักเป็นรูปสัตว์ พระพุทธรูปบนยอดเสาโครินเธียน เป็นต้น
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 จนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 10 มีอิทธิพลภายนอกที่มีต่อศิลปะอินเดียคือ ศิลปคันธารราฐ และศิลปะอินเดียเองคือ ศิลปะแบบมถุรา ทางเหนือและศิลปะแบบอมราวดีทางตะวันออกเฉียงใต้
1. ศิลปะคันธารราฐ เกิดขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 7 มีรูปแบบ ศิลปะกรีกและโรมัน แต่เป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ศิลปะคันธารราฐ เป็นศิลปะยุคแรกประดิษฐพระพุทธรูปเป็นรูปมนุษย์ แต่มีลักษณะคล้ายกรีกและโรมัน ดังนี้พระ พุทธเจ้าในปางต่าง ๆ จึงประดิษฐเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามยังพบประติมากรรม อื่นที่ได้รับอิทธิพลศิลปะกรีกและโรมันอยู่มาก เช่น ประติมากรรมรูปชาวโกลกำลังตาย และท่อ ระบายน้ำที่สลักเป็นรูปสัตว์ พระพุทธรูปบนยอดเสาโครินเธียน เป็นต้น
2. ศิลปะมถุรา ศิลปะมถุรารุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-9 ประติมากรรมสลักด้วยศิลาทรายบางรูปได้รับอิทธิ
พลจากศิลปกรีกและโรมัน แต่ก็มีรูปแบบพระพุทธรูปแบบอินเดียเป็นครั้งแรก
3. ศิลปะอมราวดี เกิดขึ้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 6-7 ศิลปะสมัย
นี้มีลักษณะอ่อนไหวแต่เน้นลักษณะตามอุดมคติ
พระพุทธรูปสมัยนี้มักทำห่มจีวรคลุมทั้งองค์ แต่ลักษณะพระ
พักตร์ยังคล้ายแบบกรีกและโรมัน สถานที่สำคัญทีพบศิลปะแบบอมราวดี คือ เมือง อมราวดี
สมัยที่ 3
1. ศิลปะตุปตะ และหลังคุปตะ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 9-13 เจริญรุ่งเรืองขึ้นทางภาคเหนือของประเทศ อินเดีย พระพุทธรูปมีลักษณะแบบอินเดียแท้ แต่กลับพบประติมากรรมสลักนูนสูงมากกว่าประติมากรรมลอย ตัว ศิลปะที่เด่นในสมัยนี้คือ จิตรกรรมฝาผนังที่ถ้ำอชันตา ส่วนศิลปะหลังคุปตะอยู่ในช่วงประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 11-13 สถาปัตยกรรมมีรูปร่างใหญ่ขึ้น สมัยนี้มีเทวสถานที่สำคัญ คือ เอลลูรา และเอเลฟันตะ สมัยนี้ เริ่มมีศาสนสถานที่ก่อสร้างด้วยอิฐ
1. ศิลปะตุปตะ และหลังคุปตะ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 9-13 เจริญรุ่งเรืองขึ้นทางภาคเหนือของประเทศ อินเดีย พระพุทธรูปมีลักษณะแบบอินเดียแท้ แต่กลับพบประติมากรรมสลักนูนสูงมากกว่าประติมากรรมลอย ตัว ศิลปะที่เด่นในสมัยนี้คือ จิตรกรรมฝาผนังที่ถ้ำอชันตา ส่วนศิลปะหลังคุปตะอยู่ในช่วงประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 11-13 สถาปัตยกรรมมีรูปร่างใหญ่ขึ้น สมัยนี้มีเทวสถานที่สำคัญ คือ เอลลูรา และเอเลฟันตะ สมัยนี้ เริ่มมีศาสนสถานที่ก่อสร้างด้วยอิฐ
สมัยที่ 4
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมาเป็นช่วงสมัยของศิลปะทางทิศตะวันออกเฉียงใต้หรือศิลปทมิฬ (Dravidian) แยกออกจากส่วนที่เหลือของอินเดีย
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมาเป็นช่วงสมัยของศิลปะทางทิศตะวันออกเฉียงใต้หรือศิลปทมิฬ (Dravidian) แยกออกจากส่วนที่เหลือของอินเดีย
ศิลปะทมิฬหรือดราวิเดียน
- ยุคคือ
ยุคแรกพุทธศตวรรรษที่ 14-15 มีพระโพธิสัตว์และ พระพุทธรูปทรงเครื่อง
- ยุคสองพุทธศตวรรษที่
16-17 พระพุทธรูปทรงเครื่องมากขึ้น สร้างตามคตินิยมลัทธิ ตันตระ
- ยุคที่สามยุคราชวงศ์เสนะ พุทธศตวรรษที่ 18 นับถือศาสนาฮินดูจึงเป็นยุคของประติมากรรมแบบฮินดู ศิลปะแบบปาละ เสนะ ได้แพร่หลายไปยังที่ต่าง ๆ เช่น ประเทศเนปาล ธิเบต ศรีลังกา ชวาทางภาคกลาง เกาะ สุมาตราในอินโดนีเซีย พม่า และประเทศไทย
ศิลปะตะวันออก
ลักษณะของศิลปะที่แสดงคุณลักษณะเฉพาะอย่างของรูปแบบ
ศิลปะจะแสดงออกทางอิทธิพลทางภูมิอากาศ ขนบประเพณี
รูปแบบของศิลปะตะวันออกจะเด่นชัดทางอิทธิพลทางศาสนา เช่น งานทางด้านจิตรกรรม
ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนประยุกต์ศิลป์ งานประณีตศิลป์และงานหัตถกรรม
ซึ่งมีส่วนในการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของชาวตะวันออกตามพื้นเพเดิมของการดำรงชีวิต
การนับถือศาสนามีอิสระต่อกัน ประกอบด้วย ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู
ลัทธิเต๋า และศาสนาคริสต์ เป็นต้น
สภาพความเป็นอยู่จะเป็นไปตามลักษณะของภูมิประเทศและภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ลักษณะบ้านเรือน
เครื่องแต่งกายและสิ่งของเครื่องใช้เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม
การสร้างสรรค์ศิลปะจึงเป็นไปอีกแบบหนึ่ง ในประเทศตะวันออกนั้น
ล้วนมีเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเองมาแต่ยุคโบราณ
และต่างก็สืบต่อลักษณะทางศิลปะกันลงมาไม่ขาดสาย
ทำให้ศิลปะของชาวตะวันออกมีลักษณะรูปแบบตนเอง “ ศิลปะประจำชาติ
” เด่นชัด
และไม่ถือเอาความเป็นจริงตามธรรมชาติเป็นสำคัญ
จึงสร้างสรรค์ศิลปะให้บังเกิดความงามที่เหนือขึ้นไปจากธรรมชาติตามรสนิยมและความรู้สึกของตน
ศิลปะตะวันออกได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างฉลาดและแฝงไว้
ด้วยแนวคิดและรูปแบบอันสร้างสรรค์ขึ้นเฉพาะเป็นเรื่อง
ๆ ไป
พระเจ้าอโศกมหาราช พ.ศ. 300 ก็มีสิ่งสำคัญอยู่ 3 ประการ
คือ องค์สถูป บัลลังก์ ฉัตร ดังนั้น แม้ว่ามีการสร้างสรรค์ขึ้น
ในสมัยต่อมา ก็ยังรักษาแนวคิดเดิมไว้
แต่รูปแบบอาจแปร
เปลี่ยนไปบ้างตามแนวความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละยุคสมัยของ
แต่ละชาติ
เพราะความคิดของคนแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เหมือนกัน
ความเปลี่ยนแปลงนี้เองเรียกว่า “
วิวัฒนาการ ” ซึ่งเป็นไป
อย่างช้า ๆ
แต่มั่นคงอยู่ในรากฐานดั้งเดิม
ศิลปะตะวันออกสามารถจำแนกแหล่งอิทธิพลได้เป็น 2 แหล่ง
ด้วยกัน คือ
อินโดนีเซีย ลาว เป็นต้น
2.
ประเทศที่อยู่ในสายวัฒนธรรมจีน
ศิลปะจีน
นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าจีนมีประวัติแห่งการพัฒนาประเทศเป็น
4 ยุค
คือ ยุคแรกเป็นยุคหิน ต่อมาคือยุคหยก ยุคทองแดง
และยุคสุดท้ายคือยุคเหล็ก
สำหรับสมัยประวัติศาสตร์ของจีนมียุคสมัยของศิลปะที่สำคัญดังนี้
1. สมัยราชวงศ์ชาง ( Shang Dynasty ) ศิลปวัตถุที่เด่นที่สุดคือ เครื่องสำริด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาชนะสำริดซึ่งมีทรวดทรงสวยงาม ใหญ่โต
แข็งแรง
หล่อด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยม
อันแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคนิคในการหล่อสำริดที่เจริญกว่าเทคนิคการหล่อสำริดในเมโสโปเตเมีย ทั้งๆทีรู้จักวิธีหล่อสำริดก่อนจีนเกือบพันปี
เครื่องสำริดของจีนทำขึ้นโดยการหลอมโลหะที่มีส่วนผสมของทองแดง ดีบุก
และตะกั่ว
ใช้ทำเป็นภาชนะใส่อาหาร เหล้า และน้ำ
ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
เช่น เสียม ขวาน
มีด เป็นต้น ลวดลายที่ปรากฏบนสำริดเหล่านี้จะมีความวิจิตรสวยงามมาก มีทั้งลายนูน
และลายฝังลึกในเนื้อสำริด
เช่น ลายเรขาคณิต ลายสายฟ้า
ลายก้อนเมฆ
และลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลายหน้ากากรูปสัตว์ที่เรียกว่า “
เถาเทียะ ” เห็นจมูก เขา
และตาถลนอย่างชัดเจน
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นในศิลปะจีนในสมัยต่อๆ มาอยู่เสมอ
นอกจากสำริดแล้ว เครื่องหยกประเภทต่างๆ
ก็แสดงเห็นฝีมือทางศิลปะอันสูงส่งของสมัยราชวงศ์ชาง หยกเป็นวัตถุที่นิยมนำมาแกะสลักเป็นรูปต่างๆ มากที่สุด
โดยช่างในสมัยราชวงศ์ชางมีเทคนิคในการเจียระไนและแกะสลักหยกให้เป็นรูปและลวดลายต่างๆ
กัน เช่น
เป็นใบมีด เป็นแท่ง เป็นแผ่นแบนๆ
หัวลูกศร จี้ หรือรูปสัตว์ต่างๆ สัญลักษณ์ที่นิยมกันมากคือ สัญลักษณ์ของสวรรค์ โลกและทิศสี่ทิศ
นอกจากเครื่องหยกแล้วยังพบผลงานแกะสลักอื่นๆอีก เช่น
งาช้าง เครื่องปั้นดินเผา หินอ่อน
โดยแกะสลักเป็นรูปหัววัว เสือ ควาย
นก และเต่า เป็นต้น
2. สมัยราชวงศ์โจว ( Chou
Dynasty ) ความก้าวหน้าทางศิลปะของราชวงศ์ชาง ได้สืบทอดต่อมาในสมัยราชวงศ์โจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการหล่อสำริด
ความเป็นตัวของตัวเองของราชวงศ์โจวก็เริ่มปรากฏชัดขึ้น เช่น
มีการเน้นลวดลายประดับประดามากขึ้นและไม่เด่นนูนเหมือนสมัยราชวงศ์ชาง มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น
ลวดลายสัตว์เป็นรูปมังกรหลายตัวซ้อนกันและเกี้ยวกระหวัดไปมา ลวดลายละเอียดอ่อนช้อยมาก ในด้านการแกะสลักเครื่องหยกฝีมือช่างสมัยราชวงศ์โจวจะยอดเยี่ยมกว่าสมัยราชวงศ์ชางมาก สามารถแกะสลักได้สลับซับซ้อน
ในสมัยราชวงศ์โจวยังพบว่ามีการพัฒนาในเรื่องเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งอาจเรียกได้ว่า
เป็นต้นแบบของเครื่องเคลือบจีน
เพราะรู้จักกรรมวิธีในการเคลือบน้ำยา
เบื้องต้นและรู้จักเผาไฟด้วยอุณหภูมิสูง
3. สมัยราชวงศ์จิ๋น ( Chin
Dynasty ) ในสมัยนี้มีสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านความมโหฬาร คือ
กำแพงเมืองจีน ( The Great
Wall ) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 6,700 – 10,000
กิโลเมตร
นอกจากนี้ก็ยังพบประติมากรรมดินเผาเป็นรูปทหารเท่าคนจริงฝังอยู่ในสุสานพระจักรพรรดิองศ์หนึ่งแห่งราชวงศ์จิ๋น คือ
จักรพรรดิฉิน สื่อ หวง
ตี่
ซึ่งพระองศ์ได้สร้างไว้ล่วงหน้าก่อนสวรรคต
30 ปี
การขุดค้นได้กระทำไปแล้วบางส่วนในพื้นที่ประมาณ 12,600
ตารางเมตร
และพบประติมากรรมดินเผารูปทหารและม้าศึกจำนวนมากประมาณ 6,000 รูป
รูปทรงของประติมากรรมมีขนาดใกล้เคียงกับคนจริงมาก คือมีความสูงประมาณ 6
ฟุต ปั้นด้วยดินเหนียวสีเทา
จากนั้นก็นำไปเผาไฟเช่นเดียวกับการกรรมวิธีการสร้างเครื่องปั้นดินเผาทั่วไป
4. สมัยราชวงศ์ฮั่น ( Han
Dynasty ) ความเป็นปึกแผ่นของประเทศได้ส่งผลสะท้อนมายังศิลปกรรมให้เจริญก้าวหน้าไปด้วยรากฐานที่วางไว้ดีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชางเรื่อยมา
ต่างได้รับการพัฒนาเต็มที่สมัยราชวงศ์ฮั่น
และประติมากรรมเต็มรูปหรือแบบลอยตัวก็เริ่มปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยนี้ มีการพัฒนาทางด้านการออกแบบ
กรรมวิธีการสร้างและมโนภาพในงานสถาปัตยกรรม จิตรกรรมเขียนตัวอักษร
ประติมากรรมหรืองานศิลปหัตถกรรมทั่วไป
ในส่วนของประติมากรรมมีการนำหินมาสลักให้เป็นทั้งรูปลอยตัวและรูปแบน มีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพนิยายตามความเชื่อในลัทธิเต๋า ประติมากรรมรูปแบน มักเป็นแผ่นใช้การขีด วาด
จารึกเป็นลายเส้นหรือไมก็ฉลุเป็นรูปต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการคิดประดิษฐ์กระดาษใช้แทนผ้าไหมและแผ่นหิน
ศิลปะประยุคในสมัยนี้จะบรรลุถึงความงามชั้นสูงสุด
โดยเฉพาะช่างทองรูปพรรณขึ้นชื่อในด้านความประณีต งดงาม
ซึ่งมีการประดิษฐ์และออกแบบลวดลายพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก
5. สมัยราชวงศ์จิ้น (
Jin of
Tsin Dynasty ) พระพุทธศาสนาได้นำความเชื่อใหม่มาสู่จีน
และได้เข้ามามีส่วนเปลี่ยนแปลงศิลปกรรมที่ทำมาเป็นประเพณีแต่เดิม
ที่เคยมีความนับถือลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าเป็นหลักสำคัญ ให้พัฒนาไปสู่รูปแบบพุทธศิลป์แบบใหม่ๆ เช่น
การสร้างรูปเคารพ ศาสนสถาน เป็นต้น
โดยเฉพะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติจากอินเดียได้เข้ามามีส่วนสร้างงานด้วย
ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระยะแรกพุทธศิลป์คงมีรูปลักษณะแบบอินเดีย แต่ต่อมารูปแบบกรรมวิธีและเนื้อหาได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม และสอดคล้องกับการแสดงออกของศิลปะจีนเอง เช่น ที่ถ้ำตุนหวง ได้มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังไว้
ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่ที่สุดของจีน มีลักษณะเป็นภาพทิวทัศน์ประกอบพุทธประวัติ และเป็นตัวอย่างอันดีของการผสมผสานเทคนิคจิตรกรรมแบบเปอร์เซีย อินเดีย
และจีนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว
6. สมัยราชวงศ์ถัง ( Tang
Dynasty) สมัยนี้เป็นยุคทองของศิลปวัฒนธรรมจีนทุกประเภท โดยเฉพาะเครื่องเคลือบ
ฝีมือของช่างในการผลิตเครื่องเคลือบมีคุณภาพสูงกว่าเครื่องเคลือบที่ผลิตจากแหล่งอื่นๆทั่วโลก
เครื่องเคลือบที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีคือ “ เครื่องเคลือบสามสี
” ( Thee - colour wares ) มีลักษณะแข็งแรงและสง่างามจึงกลายเป็นลักษณะเฉพาะของเครื่องเคลือบในสมัยราชวงศ์ถัง ลักษณะเนื้อดินละเอียด ขาวหม่น
ในการเคลือบน้ำยานั้น
จะเว้นที่ส่วนล่างของฐานไว้เล็กน้อย
เพื่อแสดงฝีมือการปั้นของช่าง
ทั้งนี้ ลวดลายที่ปรากฏ บางส่วนแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเปอร์เซียด้วย